Saturday, January 22, 2011

คนจนอุดร

“คนจนอุดร”
ผมเพิ่งกลับจากอุดร

เอาหนัง “คนจนผู้ยิ่งใหญ่” ไปฉาย

ไปรถทัวร์ กลับรถทัวร์ นั่งจนเหนื่อย ไม่เหมือนสมัยหนุ่ม การเดินทางนั่งรถคือการผจญภัยที่แสนสนุกสนานยิ่งนัก ทุกอย่างน่าตื่นเต้น น่าสนใจเรียนรู้

นี่เป็นรอบแรกที่ฉายอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาฉายแบบลองหยั่งเชิง

วันนั้น เป็นวันพุธ เวลา 13.00 น. ชั่วโมงกิจกรรมของมหาวิทยาลัยราชภัฎทั่วประเทศ ไม่ก็ส่วนใหญ่ ที่นี่คือมหาวิทยาลัยราชภัฎอุดร มีคนดูสักเจ็ดสิบแปดสิบ ไม่ได้นับ เกือบเต็มห้องเรียนขนาดใหญ่ ป้ายหน้าห้องเขาเขียนว่า เชิญชวนเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ “เทคนิคการทำหนังอิสระ” จากสืบ-บุญส่ง เขาไม่รู้จักนามสกุลของผมด้วยซ้ำ คงเป็นนักศึกษาทำ ด้วยความดำริของอาจารย์ ไม่ได้ตำหนิเขาแม้สักนิด แต่เป็นสัจธรรมบอกผมว่า ชื่อผมนั้นไม่มีใครรู้จักแล้ว

การฉายหนังคราวนี้ เกิดขึ้นและสำเร็จลงได้เพราะวรวุฒิ หลักชัย ไม่ใช่เพราะผม เขาเป็นคนติดต่อประสานงานทั้งหมด ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมและที่นี่ด้วยซ้ำ งานหลักของเขา คือ คนทำสื่อประจำเทศบาลอุดร เมื่อก่อนเคยเป็นครูชนบท ตอนนี้ มาทำงานรับใช้เทศบาล รักหนัง มุ่งมั่นทำหนังสั้น หนังนั่นนี่เป็นระยะ ๆ พูดเก่ง คล่องตัว มีเรื่องเล่าเยอะ อนาคตอยากทำหนังดี ๆ นับเป็นคนหนุ่มที่น่าจับตาและน่าส่งเสริมคนหนึ่งทีเดียว เขาดูแลรับส่งพาผมทัวร์อุดร ตามซอกหลืบอันลี้ลับ กินข้าว เข้าที่พัก และวันต่อมา ก็มารับผมเดินไปกับผมถึงห้องฉายหนัง รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาอุปกรณ์การฉายที่ติดขัด แม้จะติดประชุมที่เทศบาล ก็ยังรีบไปรีบกลับ และมานั่งดูหนังได้เกือบค่อนเรื่อง แถมขึ้นเวทีร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังตอนหนังจบอีก เขากับผม เดินทางรอนแรม ด้วยรถเก๋งของเขา จนกระทั่งผมเดินขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพนั่นแหละเขาจึงได้กลับไปอยู่กับลูกกับเมีย


ผมตอบแทนเขาด้วยการเลี้ยงข้าวสองมื้อและไปนั่งดูหนังสั้น 3 เรื่องของเขา และให้คำแนะนำในการแก้ไข เขาบอกว่าเขากำลังตัน จมอยู่กับมัน จนมืดมัวหาหนทางไม่เจอ ก็ไม่สบายใจนักที่พูดตรง ๆ หลายอย่างออกไป อีกทั้งไม่อยากให้ความคิดของเราไปทำลายตัวตนและความเชื่อมั่นของคนอื่น


ในห้องฉายหนังสีขาววันนั้น มีทั้งนักศึกษาและครูอาจารย์ นักศึกษาคละชั้นปี อาจารย์ติ๊กเป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้ แกมานั่งสั่งการดูแลรายละเอียดเอกสารตั้งแต่ไก่โห่ก่อนใคร ผมโผล่หน้าเข้าไปก็เจอแกนั่งอยู่แล้ว ยังมีครูสาวเพื่อนแกอีกคนหนึ่ง แววตาสงบนิ่งฉลาด และหน้าตาสะสวยดูมีสง่า และอีกคนหนึ่งที่สะดุดตาผมก็คือ อาจารย์ผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางแกจะเป็นหัวหน้าภาคหรือหัวหน้าอะไรซักอย่าง แกเครียดเขม็ง ยิ่งหนักหนามากกว่า ตอนที่นักศึกษาเดินเข้าเดินออกระหว่างหนังฉาย พอหนังจบ ผมก็ไม่เห็นแกแล้ว บ่ายนั้น ผมไม่รู้จักใครเป็นใครก็เผลอพูดลามปามไปบ้าง ก็เพราะนิสัยเสียของผมนั่นแหละ ชอบวิพากษ์วิจารณ์นั่นนี่ไปหมด แต่ผมจริงใจไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงทั้งสิ้น







นักศึกษาคนหนึ่งรับหน้าที่พิธีกร หน้าตาหล่อสูงยาวเข่าดี คงจะเป็นเพชรและดาวเด่นในงานสังคมเบื้องหน้าของที่นี่ ดูจากท่าทางน้องเขามั่นอกมั่นใจตัวเองสูงทีเดียว แต่สิ่งที่ผมเอะใจก็คือ น้องไม่ค่อยฟังผม ไม่ค่อยอยู่กับรายละเอียด แต่ไปยึดติดกับบทและประเด็นที่คาดว่าคงจะเตรียมกับอาจารย์ติ๊กมาเสียมากกว่า ทำให้การพูดคุยก่อนและหลังหนังจบของเรา ไม่ได้อย่างใจผมสักเท่าไหร่ เราจะไปคาดหวังอะไรจากใครได้ แค่เขาจัดฉายก็ดีถมแล้ว ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป เพราะนี่เป็นสถานศึกษา และเวทีอย่างนี้นี่แหละมีไว้สำหรับการฝึกฝนสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างดีทีเดียว


ระหว่างดูหนัง มีการพูดคุยหัวเราะแว่วไวตลอดเวลา บ้างก็เดินเข้าเดินออก บ้างก็นั่งทำการบ้าน ผมทำใจเสียแล้วกับปรากฏการณ์แบบนี้ เพราะดูดีว่า หนังของผมเอาคนดูไม่ค่อยอยู่ เพราะมันอืดอาดเชื่องช้าแช่นิ่ง ไม่ค่อยมีการตัดต่อ และการแสดงออกที่เร้าอารมณ์เอาเสียเลย มันเชื่องช้า เนิบนิ่ง  ซุกซ่อนอะไรต่าง ๆ เยอะเกินไป ภาพก็มีแต่กว้าง ๆ ไม่มีเจาะให้เห็นกันชัด ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใด ๆ นานมากนัก ถึงกับต้องเดินเข้าเดินออกเป็นระยะ ๆ ก็น่าเห็นใจพวกเขาหรอก เพราะชีวิตทุกวันนี้มันมีสิ่งยั่วยุให้เขาสนใจสิ่งต่าง ๆ มากมายเหลือเกิน หนังในรูปแบบที่เนิบนิ่งเชื่องช้าท้าทายความอดทนและความคิดนั้นอาจจะล้าหลังไปแล้ว


ผมค้นพบ หนังเรื่องต่อของผม จะต้องตรงไปตรงมา ชัด ๆ มีพลัง มีคัทเยอะ ๆ ตัดต่อบ่อย ๆ และดำเนินเรื่องอย่างเร้าอารมณ์กว่านี้อีกหลายเท่า เพื่อให้เข้าถึงคนดูทุกเพศทุกวัย แต่ก็นั่นแหละ จะต้องยังคงเป็นสไตล์และตัวตนของเราอย่างถ่องแท้ การค้นพบข้อสรุปในรูปแบบการทำหนัง เพื่อให้คนดูเข้าถึงของผมคราวนี้ การตระเวนฉายหนังตามมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดของก็ผมนับว่าคุ้มค่าพอแล้ว





ไม่มีใครติอะไรในตัวหนัง มีแต่แววตาแห่งคำชม เอ่ยปากออกมาบ้าง แบบกระมิดกระเมี้ยน กล้า ๆ กลัว ๆ เสียงส่วนใหญ่บอกว่าดีหมด ยกเว้นแต่น่าจะมีซับไตเติลเป็นภาษาไทยด้วย เพราะฟังภาษาถิ่นสุโขทัยไม่ค่อยออกเลย ผมเฉย ๆ กับคำชมเพราะเกินวัยจะสนใจมันเสียแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ค่อยพร้อมจะรับคำด่าตรง ๆ มากนัก ต้องหากลวิธีอ้อม ๆ สักหน่อย หวังว่าสักวันอันใกล้ ผมจะยอมรับฟังคำด่าจากคนอื่นได้ เพราะนั่น หมายความว่า ผมได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว


หลังหนังจบ ประเด็นการพูดคุยส่วนใหญ่โน้มเอียงไปทางเทคนิควิธีการในการคิดบททำหนัง พิธีกรพยายามถามหาสูตรสำเร็จ แต่ผมจะบอกอย่างไรละ เทคนิควิธีไม่มีหรอก ถึงมีมันก็ไม่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับการหมุนเวียนเปลี่ยนไปของธรรมชาติ ของอารมณ์ความรู้สึก และเหตุปัจจัย ณ วันนี้ เมื่ออายุ 42 ปี ทำหนังมาทุกรูปแบบ แทบทุกแนว ผ่านวิบากกรรมมาเยอะ พอที่จะพูดสัจธรรมได้บ้าง บอกได้เลยว่า การทำหนังนั้นมันเป็นศิลปะเฉพาะตัว ต่างคนต่างมีระเบียบวิธีเฉพาะของตัวเอง ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ แม้จะศึกษาตำราทำหนังเล่มเดียวกันก็ตาม แต่ศิลปะมีความหมายอย่างหนึ่งร่วมกัน คือ ความอิสระ เสรีภาพ นอกจากการศึกษาค้นคว้าจนชำนิชำชำนาญและถามหัวใจตัวเองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ศิลปะและศิลปินต้องมีอิสรภาพอย่างไร้ขอบเขต หาไม่แล้ว มันจะซอกซอนเข้าไปในจิตวิญญาณผู้เสพไม่ได้ และตัวเขาจะเข้าถึงแก่นแท้แห่งงานศิลปะไม่ได้


เอาเป็นว่า การมาอุดรของผมคราวนี้ เพราะหนังมันพามา ผมมากับหนัง มาฉายหนัง มาพูดคุยเรื่องหนัง มาขยายขอบเขตความคิดเรื่องหนัง เพื่อเอากลับไปแก้ไขหาข้อบกพร่อง นาทีนี้ผมทราบแล้ว ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น ผมค้นพบหนทางบางอย่างเจอ และจะพยายามแก้ไขและสร้างสรรค์หนังเรื่องต่อไปอีกไม่นานนี้ มันต้องดีกว่าเดิม หนังเรื่องใหม่ต้องดีกว่าเรื่องเก่า จะต้องดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ผมต้องไม่แก่แล้วแก่เลย ต้องไม่แก่แล้วเลอะ แต่ต้องเก๋า ต้องแกร่ง ต้องหนักแน่นลึกซึ้ง เรื่องต่อไปต้องดีกว่านี้ วิธีเดียวที่พอจะบอกได้ก็คือ ทำหนังแต่ละเรื่องต้องทุ่มเทสุดชีวิต มีเท่าไหร่ต้องใส่ให้หมด ทั้งแรงกาย ความคิด แรงใจ และจิตวิญญาณลึก ๆ ต้องเทลงไปในหนังไม่ให้เหลือ นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำหนังเรื่องต่อไปให้ดีขึ้นมาได้ จะว่าไป มันคือวิธีการทำงานศิลปะเลยทีเดียว ทุ่มเททำหมดหัวใจคือเคล็ดลับ...


บุญส่ง  นาคภู่
20 มกราคม 2554

2 comments:

  1. ไม่เห็นมีข่าวของสารคามบ้างเลยครับ

    ReplyDelete
  2. มีนะครับ

    นี่ไง http://plapenfilm.blogspot.com/2011/02/4.html

    ReplyDelete